จะทะลุไหม? หากเสริมจมูกสโลปปลายพุ่ง 

หลายๆคนคงมีปัญหากังวลใจเกี่ยวกับการทำจมูก ยิ่งเป็นจมูกสโลปปลายพุ่ง ที่มีการเน้นย้ำบริเวณปลายจมูกที่เชิดขึ้นอย่างเห็นชัดเจนแบบนี้ คงมีความกังวลใจเรื่องการทะลุอย่างแน่นอน บทความนี้จะให้คำตอบและคลายข้อสงสัยของคุณอย่างแน่นอน

ทรงจมูกสโลปปลายพุ่ง เป็นอย่างไร

ทรงจมูกสโลปปลายพุ่ง จะมีลักษณะเด่นที่สามารถสังเกตได้อย่างชัดเจน คือสันจมูกจะรับกับหน้าผากและสโลปลงมาอย่างสมูท ปรับปลายจมูกให้เรียว และยกให้เชิดขึ้น เสริมให้ภาพรวมของใบหน้าดูยาวขึ้น หน้าดูมีมิติมากยิ่ง อีกทั้งทรงจมูกสโลปปลายพุ่งยังเป็นทรงจมูกที่สามารถปรับแต่งออกมาได้หลายทรง ไม่ว่าจะเป็นสโลปปลายพุ่งสไตล์บาร์บี้ สโลปปลายพุ่งหยดน้ำ โดยที่ยังคงความสันสโลปของจมูกได้อย่างดี

ปัจจัยที่ส่งผลให้จมูกทะลุ

จมูกทะลุสามารถเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ วิธีสังเกตเบื้องต้นคือดูปลายจมูกว่ามีความบางและสะท้อนแสง ผิวบริเวณปลายจมูกเปลี่ยนสีเป็นสีแดง หรือจมูกอาจเกิดการผิดรูป มีร่องบุ๋ม ซิลิโคนเคลื่อนตัวตกลงมาจากเดิม นี่คืออาการที่สามารถสังเกตได้ด้วยตัวเองแบบง่ายๆ หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบพบแพทย์และทำการรักษาโดยด่วน

เนื้อจมูกน้อย

เลือกขนาดซิลิโคนไม่เหมาะสมกับเนื้อจมูก เนื่องจากการเลือกทรงจมูกที่อาจจะไม่เหมาะกับจมูกเดิมเรา เช่น เนื้อจมูกน้อย และเลือกทรงจมูกที่โด่งเกินไปหรือพุ่งจนเกินไป ทำให้เนื้อจมูกเดิมไม่สามารถรับไหว ส่งผลให้เนื้อจมูกบางขึ้นและเกิดโอกาสทะลุได้

 ซิลิโคนไม่ได้มาตรฐาน

ซิลิโคนที่ใช้อาจจะไม่ได้มาตรฐาน เนื่องวัสดุที่ทำซิลิโคนอาจจะไม่ใช่เกรดที่ใช้ในการแพทย์ เช่น ไม่ยืดหยุ่น เนื้อสัมผัสซิลิโคนมีความแข็งเกินไป ทำให้เกิดโอกาสซิลิโคนทะลุได้สูงมาก

เกิดการติดเชื้อหลังทำจมูก

เกิดการติดเชื้อหลังจากทำจมูก เมื่อทำเสร็จแล้วแผลบริเวณปลายจมูกอักเสบ มีอาการแดง อักเสบมีหนอง หรือบางกรณีเป็นสีดำ นั่นคือการติดเชื้อ หากทิ้งไว้นานๆ หรือรักษาไม่ถูกวิธี มีโอกาสทำให้จมูกเน่าและซิลิโคนทะลุได้

เสริมจมูกสโลปปลายพุ่ง เสี่ยงทะลุไหม?

บางท่านกังวลความพุ่งบริเวณปลายจมูก ถ้าทำแล้วปลายพุ่งขนาดนี้จะมีโอกาสเสี่ยงจมูกทะลุหรือไม่ เนื่องด้วยเทคนิคทางการแพทย์ปัจจุบันนี้ได้ก้าวหน้าไปอย่างมาก การผ่าตัดศัลยกรรมจมูกทุกวันนี้จึงมีความปลอดภัยสูงมาก และการทำจมูกทรงสโลปปลายพุ่งนั้นก็มีเทคนิคต่างๆมารองรับเรียบร้อย หากกังวลปลายใส ก็มีการใช้เนื้อเยื่อเทียมในการรองปลาย อีกทั้งเนื้อเยื่อเทียมยังสร้างความธรรมชาติให้บริเวณปลายจมูกได้ดี ลดอาการตึงของจมูก และยังลดโอกาสจมูกทะลุได้ เรียกได้ว่าหากเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน เลือกแพทย์ที่มีความเข้าใจในการเสริมจมูก รวมไปถึงการดูแลตัวเองหลังศัลยกรรมได้ถูกต้อง ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องจมูกทะลุเลย

ซิลิโคนทะลุรับมืออย่างไร

หากรู้ตัวว่าซิลิโคนทะลุควรรีบไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาหาแนวทางแก้ไข 

ควรหมั่นสังเกตจมูกตัวเองอยู่เป็นประจำ หากเริ่มมีอาการแดง อาการบวม หรืออาการตึงจมูกแบบผิดสังเกตุ ให้รีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน

ไม่ควรปล่อยให้เรื้อรัง จนเกิดอาการปลายจมูกบางใสใกล้ทะลุ หรือรอจนจมูกอักเสบติดเชื้อรุนแรง เพราะถ้าหากปล่อยไว้โดยที่ไม่รีบรักษาอาจจะมีภาวะแทรกซ้อนเข้ามา ส่งผลทำให้การรักษาและแก้จมูกทำได้ยากมากขึ้น

 ปรึกษาแพทย์ผู้ที่มีความเข้าใจในการเสริมจมูกสโลปปลายพุ่ง

ปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้อง ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีการผ่าตัดซิลิโคนเจ้าปัญหาตัวเดิมออก รอพักฟื้นในระยะเวลาอย่างน้อน 3 เดือน จนถึงหนึ่งปีเต็ม เพื่อให้แผลได้สมานตัวเรียบร้อย จึงสามารถทำจมูกใหม่ได้ แต่ทั้งนี้ก็ควรปรึกษาแพทย์ที่ชำนาญการด้านศัลยกรรมจมูกเพื่อลดภาวะที่เคยจมูกทะลุและแก้ไขให้จมูกกลับมาสวยดังเดิม

เข้ารับการรักษา

เข้ารับการรักษาอย่างถูกต้อง และปลอดภัย จะมีสองกรณีที่เห็นได้หากเกิดภาวะจมูกทะลุ กรณีแรกสำหรับคนที่เนื้อบริเวณจมูกน้อยแต่เสริมซิลิโคนแบบฝืนเนื้อ ฝืนธรรมชาติ ทำให้ต้องผ่าตัดนำซิลิโคนเก่าออกและรอพักฟื้น เพื่อให้เนื้อจมูกบริเวณที่ทะลุมีเวลาฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ กรณีที่สองคือคนที่จมูกติดเชื้อ จะมีวิธีการรักษาคือ การผ่าตัดนำซิลิโคนเก่าออก ทำความสะอาดฆ่าเชื้อบริเวณที่ติดเชื้อทั้งหมด และรอพักฟื้น ในกรณีที่ติดเชื้อนี้ ยิ่งอาการรุนแรง ก็ยิ่งส่งผลให้ต้องใช้ระยะเวลาพักฟื้นนานขึ้น 

เทคนิค semi open

โดยทาง Seoul-N Clinic จะเลือกเทคนิคการผ่าตัด Semi Open ให้กับคนไข้ที่ต้องการศัลยกรรมจมูก โดยจะยึดหลักความปลอดภัยมาเป็นอันดับแรก แพทย์จะประเมินโครงสร้างจมูกของคนไข้ และแจ้งโดยตรงว่าเนื้อจมูกเท่านี้ ทำสุดเนื้อแบบปลอดภัยได้ทรงประมาณไหน แพทย์จะไม่แนะนำให้ทำทรงจมูกที่โด่งหรือพุ่งจนฝืนพื้นฐานเดิมที่คนไข้มี เพราะหากดูดี แต่ไม่ปลอดภัย ที่คลินิกเราไม่ทำ

หากรู้สึกว่าจมูกมีอาการเจ็บ บวม ตึงหรือบริเวณปลายมีอาการแดงผิดปกติ ไม่ควรปล่อยให้หายไปเอง สิ่งที่สามารถทำได้ทันทีคือการพบแพทย์โดยด่วน เพื่อปรึกษาและหาแนวทางแก้ไขเพื่อไม่ให้อาการลุกลามไปมากกว่านี้ การแก้ไขได้ไวจะเป็นผลดีต่อตัวผู้ป่วย ง่ายต่อการรักษา และใช้เวลาน้อยในการฟื้นฟูร่างกายให้หายกลับมาเป็นปกติ